แวะมาคุยถึงเรื่องวันแย่ๆ ในบทนี้เมตั้งใจว่าจะลองบันทึกเรื่องราวที่ส่วนตัวมากขึ้น แชร์ความคิดของเมมากขึ้น ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องเครื่องสำอาง ก็เลยเป็นที่มาของบล็อกนี้ และเมอยากจะเล่าถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นใน The day everything went wrong. เมื่อดูเหมือนทุกอย่างจะพังไปหมด!
ทุกคนคงเคยมีวันแย่ๆ วันที่ทุกอย่างพังและผิดแผนไปหมด มันทำให้หงุดหงิดใช่มั้ยล่ะ แล้วก็ทำให้ใจเราไม่โอเค เช่น ตื่นสาย ไปทำงานสาย แล้วยังนึกขึ้นได้ว่าลืมโทรศัพท์ไว้บ้านอีก!!! เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเมบ่อยมาก ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม มันเหมือนว่าเมื่อทุกอย่างดีๆ เเฮปปี้อยู่ แต่แล้วก็ต้องมีอะไรอย่างนึงเกิดขึ้น แล้วก็ลากทุกอย่างให้เซ็งไปหมด เมว่าหลายคนก็คงเคยเป็นเนอะ :(
มาอ่านเรื่องราว The day everything went wrong. ล่าสุดที่เกินขึ้นกับเมกัน
#เฟลข้อที่หนึ่ง วันหยุดแรงงานที่ผ่านมา เมตั้งใจว่าจะไปซื้อชุดนักเรียนที่จะนำไปบริจาค เตี๊ยมกับเพื่อน นัดกันดิบดี จะไปซื้อที่นั่น จะไปหาอะไรกินต่อที่โน่น อุตส่าห์ตื่นแต่เช้า ทั้งที่ปกติวันหยุดนี่เราจะนอนตื่นสายสุดๆ แต่!!! ตื่นเช้ามาฝนตกหนักมาก ก็เลยไม่อยากให้เพื่อนขับรถมา เลยยกเลิกนัดกันก่อน ไม่อยากต้องไปเปียกฝน
#เฟลข้อที่สอง พอแคนเซิลเท่านั้นแหละ ฝนหยุด ฟ้าใส โถ...ชีวิตมันก็อย่างนี้สินะ รู้สึกเฟลนิดหน่อย ก็เลยอ่ะ...ช่างมัน ออกไปกินข้าวแล้วกัน
#เฟลข้อที่สาม ไปร้านข้าวประจำ กะจะได้กินอะไรอร่อยๆ ก็คนเยอะอีก รอนานมากกก แล้วคนคุยกันเสียงดังสุดๆ
#เฟลข้อที่สี่ ปกติร้านข้าวร้านนี้จะมีปูนึ่งตัวใหญ่ ใหญ่มากแบบสองตัวโล แต่วันนี้ไม่มีแล้ว :( ฮือออ อยากกินปูนึ่งกับข้าวสวย
#เฟลข้อที่ห้า อ่ะ กินข้าวเสร็จ ต้องถ่ายงาน อยากมีผมสวยๆ เดินตากแดดไปถึงร้านประจำ อ้าวปิด!
รู้สึกนอยด์ไปหมด เหมือนทุกอย่างจะผิดแผนไปซะหมดเลย เมมักไม่ชอบที่เวลาเราวางแผนอะไรแล้วมันผิดแผนไปหมด มักจะหงุดหงิด และรู้สึกไม่ดี คนอาร้ายยยยยมันจะซวยได้ทุกเรื่องแบบนี้วะ
#เฟลข้อที่หก เดินไปถึงวินมอเตอร์ไซค์ ปรากฎไม่มีเลย!
สุดท้ายก็เลยต้องเดินตากแดดไปหาร้านสระผมที่อีกซอยใกล้บ้าน ผ่านร้านไหนๆ ก็ปิดหมดเลย ความรู้สึกแบบ #เฟลข้อที่เจ็ด #เฟลข้อที่แปด นับในใจไปเรื่อยๆ หน้าบูดขึ้นเรื่อย จนเจอร้านนึง ดูเก่าๆ โทรมๆ ย้อนยุค อากาศร้อนมาก เมเลยไม่อยากเดินแล้ว ตัดสินใจว่า เอาวะ! มันจะเฟลไปได้อีกแค่ไหน อย่างมากก็ได้ผมที่ไดร์แย่ๆ กลับบ้านหนึ่งทรง
ประตูร้านล็อคอยู่ มองเข้าไปเห็นป้าคนนึงนอนหลับอยู่บนเตียงพับหน้าทีวี 14 นิ้ว ตัดสินใจเคาะกระจก ป้าค่อยๆ ตื่นขึ้นมา หยิบรีโมทมาปิดทีวี หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมารับ แล้วค่อยๆ เดินมาที่ประตูแต่ยังไม่เปิดล็อค
ความอดทนของเมแทบหมด จนป้าเปิดล็อคในที่สุด
เมื่อขึ้นไปนอนบนเตียงสระ ป้าบอกว่าวันนี้น้ำเบา แล้วก็ค่อยๆ เปิดน้ำจากสายยางแสนเอื่อย ต้องแกว่งสายยางไปมาไม่รู้กี่รอบกว่าผมจะเปียกทั่วหัว ความหงุดหงิดที่เฟลมาทั้งวันทำให้เมแทบไม่อยากสระต่อ รู้สึกเสียเวลา อารมณ์เหวี่ยงสุดๆ
ป้ายังคงค่อยๆ สระให้เมไปเรื่อยๆ ใจเมก็คิดแต่ว่า ฟองฟ่อดขนาดนี้ น้ำเอื่อยแบบนี้ เมื่อไหร่จะเสร็จวะ อยากรีบกลับบ้านไปถ่ายงาน ต้องทำโน่นนี่อีกเยอะแยะ
แต่จู่ๆ ณ ตอนนั้นเอง ตอนที่ฟองฟ่อด แล้วป้ายกหัวเมขึ้นแล้วค่อยๆ นวดหลังคอให้ เมรู้สึกสบาย จนทำให้จู่ๆ เมก็คิดได้ว่า นี่มันเป็นงานของป้าเค้าแทนที่จะอยากรีบทำผมให้เมให้เสร็จๆ แทนที่เค้าจะไม่โอเคกับน้ำไหลเอื่อย แต่เค้ายังค่อยๆ สระให้เมแบบครบขั้นตอนโดยไม่มีบ่นเลย ถึงแม้ว่ามันจะต้องใช้เวลานานมากกว่าเดิม
แล้วเมจะหงุดหงิดไปทำไม นี่มันวันหยุดนะ :)
จู่ๆ ใจเมก็เย็นลง จู่ๆ ก็คิดว่ามันเป็นวันหยุด เมไม่ต้องรีบร้อนอะไรขนาดนั้น แผนต่างๆ มันก็ผิดแผนไปแล้ว ทำไมเมไม่แค่ปล่อยใจสบายๆ ให้ป้าเค้านวดหัวให้ไปเรื่อยๆ กันล่ะ
สุดแสนพิเศษไปอีก เมื่อป้าบอกให้หลับตา แล้วเมก็รู้สึกเย็นๆ แสบนิดๆ ตรงไรผม ได้กลิ่นหอมเหมือนสปา ถามออกไปว่าอะไรอ่ะคะ?!? ด้วยความตกใจ เพราะมันเย็นๆ แสบๆ ไม่รู้ว่าเอาอะไรมาใส่ให้ เริ่มกลัวหน่อยๆ ป้าบอกมะกรูดจ้ะ เมรีบยกโทรศัพท์ขึ้นเปิดกล้องหน้าส่องดู โหววว มาเป็นลูกเลย มะกรูดแท้ๆ ค่อยๆ บีบใส่โคนผมแบบสดๆ ป้าบีบใส่ แล้วนวดๆ จากนั้นก็ทิ้งไว้บนผมเมประมาณ 5 นาที
ระหว่างนั้นป้าอธิบายว่า มะกรูดทำหน้าที่ Detox ทำความสะอาดคราบไคลต่างๆ ที่หนังศีรษะและโคนผม ที่แชมพูชำระล้างไม่ออก ป้าค่อยๆ เอาน้ำล้างน้ำมะกรูดออกจากผม โดยเอาขันรองไว้ แล้วยกมาให้เมดู โหย น้ำดำนิดๆ จริงๆ ด้วย ป้าบอกบางคนดำมากสุดๆ เลยนะ
เมื่อสระล้างแล้วเป่าแห้งต่อ จากนั้นเมก็เดินผมตรงสวยเป็นเงางาม สับขา ฟูลเทิร์น ออกมาจากร้าน ในราคา 120 บาทเท่านั้น ความเฟลทั้งวันหายไป กลับบ้านมาถ่ายงานแบบสบายใจ แถมได้ร้านทำผมที่ถูกใจ ซึ่งเมจะกลับไปใช้บริการอีกแน่นอน
ข้อคิดวันนี้ : มันก็ไม่เชิข้อคิดอะไรหรอกนะ แต่เป็นเหมือนบทเรียนกับตัวเองวันนี้ ว่าเวลามีเรื่องไม่สบายใจ เรื่องอะไรที่หงุดหงิดใจ มันอาจจะเหมือนทุกอย่างในชีวิตมันแย่ไปหมด แต่จริงๆ เราอาจจะลืมมองหาเรื่องดีๆ ที่แทรกอยู่ ระหว่างนั้นแค่นั้นเอง แล้วเรื่องดีๆ เรื่องเดียวในหนึ่งวัน ก็อาจจะเปลี่ยนวันที่แย่ที่สุด ให้เป็นวันที่ดีที่สุดก็ได้นะ :)